แล้วเราก็กลายเป็นศิษย์พี่-ศิษย์ฺน้อง

วันอังคารบ่าย (๔ ธันวาคม ๒๕๕๕) กำลังจะออกจากบ้านไปรับเด็กหญิงกลับจากโรงเรียน สายตาก็พานไปเห็นจดหมายซองสีขาวสอดอยู่ในตู้จดหมายหน้าบ้าน ตอนแรกก็ว่าจะไม่ดูเพราะคิดว่าเป็นพวกสลิปค่าโทรศัพท์ กลับมาค่อยมาหยิบไปก็ได้ แต่นึกยังไงไม่รู้เลยหยิบออกมา แล้วก็ตาโตเมื่อเห็นตราและชื่อตรงมุมซ้ายบนของซอง

เพราะจำได้ติดตาว่าเป็นตราโรงเรียน!

รีบเปิดด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ ว่าผลข้างในจะเป็นอย่างไร...

ก่อนอื่นต้องท้าวความว่า...ปีนี้เด็กหญิงเรียนอยู่ชั้นอนุบาลสองแล้ว ก็เลยต้องรีบเตรียมตัวมองหาโรงเรียนที่จะเรียนต่อกันแต่เนิ่นๆ ก่อนปิดเทอมคุณครูก็สอดจดหมายมาในกระเป๋าเด็กหญิงเพื่อบอกข่าวว่าโรงเรียนที่พ่อกับแม่ตั้งใจให้เด็กหญิงเข้าจะเปิดรับสมัครนักเรียนเพื่อเตรียมสอบเข้าในชั้นอนุบาลสามราวต้นเดือนพฤศจิกายน เรียกว่าเปิดเทอมปุ๊บก็รับสมัครปั๊บ อาทิตย์ถัดมาก็สอบทันที

พ่อกับแม่ไม่เคยพาเด็กหญิงไปติวเข้มหรือไปสอบอะไรที่ไหนเลย ไม่เคยเรียนพิเศษนอกจากพิเศษเย็นที่โรงเรียน เพราะเราทั้งคู่ไม่อยากให้ลูกต้องเครียดมากกับการเรียน (แต่ก็แอบกลัวว่าลูกจะทำข้อสอบได้หรือเปล่า เพราะโรงเรียนที่เรียนก็ไม่ได้เน้นวิชาการเข้มเหมือนหลายๆ โรงเรียน) เรียกว่า...ไปสอบด้วยภูมิความรู้เดิมๆ นี่แหละ

วันสมัครแม่ไปเองเพราะต้องไปกรอกแบบสอบถามซึ่งนัยว่าก็คือการสอบสัมภาษณ์ผู้ปกครองนั่นเอง ถามว่าเตรียมตัวอะไรหรือเปล่า...เปล่าเลยค่ะ ไม่ได้เตรียมอะไรไปแม้แต่น้อย เพราะคำถามที่ถามเป็นคำถามเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกและทัศนคติของเราล้วนๆ ตอบอย่างไรก็ไม่มีผิดมีถูกหรอกค่ะถ้าคุณตอบตามจริง...ตามวิธีที่คุณเลี้ยงลูกมา และถ้าคุณเลี้ยงลูกด้วยความรัก ความเอาใจใส่ รับรองว่า...คุณตอบได้อยู่แล้ว

พอวันสอบซึ่งเป็นเสาร์ถัดมา แม่ก็พาเด็กหญิงไปสอบคนเดียว เพราะตอนแรกแม่ดันจำผิดวัน นึกว่าเป็นวันอาทิตย์เหมือนวันสมัคร แต่ปรากฏเป็นวันเสาร์ (โชคดีมากที่คุณครูประจำชั้นเตือน ไม่งั้นล่ะแย่แน่ๆ) ส่วนพ่อมีธุระนัดลูกค้าไว้ (ก็แม่ดันบอกผิดวัน แหะๆ) เด็กหญิงตื่นเต้นกับโรงเรียนบอกว่าสวยจังเลย ชอบสนามเด็กเล่นอยากจะไปเล่นเหลือเกิน เลยต้องบอกว่าพอสอบเสร็จจะพามาเล่น

เด็กเยอะมากค่ะ...แต่ละคนดูท่าทางเก่งๆ ไม่หวังอะไรมากเลยจริงๆ แม้ว่าแม่จะได้ชื่อว่าเป็นศิษย์เก่า และเขาบอกกันว่ามีเปอร์เซ็นต์ได้มากกว่าคนอื่น แต่แม่ก็เป็นศิษย์เก่าประเภทไม่เคยกลับไปเหยียบโรงเรียนอีกเลยตั้งแต่เรียนจบมา ^^'

เลยไม่หวังจริงๆ ค่ะ เพราะตอนสมัยเรียนคุณครูบอกเสมอว่า...เรียนจบไปก็แวะกลับมาบ้างนะ ไม่ใช่หายไปเลย พอมีลูกอยากให้ลูกเข้าเรียนค่อยมา (เอิ่มมม...อิชั้นทำอย่างนั้นเป๊ะ)

สอบเสร็จเด็กหญิงก็ออกมา แม่กับคุณครูที่ไปคอยให้กำลังใจก็ถามว่าทำได้ไหม เธอบอกว่าทำได้ แต่ไม่ยอมบอกว่าข้อสอบเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง (ข่าวว่าคุณครูคุมสอบจะบอกเด็กไม่ให้มาบอกค่ะ) เราฟังก็...อืม ทำได้ก็ทำได้วุ้ย สอบเสร็จกลับบ้านก็ไปรอผล ไม่รู้หรอกว่าผลออกเมื่อไร รู้แต่ว่าต้นเดือนธันวาคม

แล้วผลก็มาถึงมือเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา...


แม่อ่านรอบแรกแล้วก็ต้องอ่านซ้ำอีกรอบ...ไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม?

พอแน่ใจว่าอ่านไม่ผิดก็โทรบอกข่าวพ่อทันทีให้ช่วยกันดีใจ เพราะเราทั้งคู่ต่างก็ไม่คาดคิดว่าลูกจะสอบได้ คิดว่าถ้าสอบไม่ได้ก็ค่อยสอบใหม่ปีหน้าแล้วกัน เพราะคุณครูเคยบอกว่าถ้าจะสอบเข้าที่นี่จะต้องสอบสองครั้ง คือ ตอนอนุบาลสองครั้งหนึ่ง แล้วก็อีกครั้งตอนอนุบาลสาม ถ้าไม่สอบตอนอนุบาลสองก็จะไม่มีสิทธิ์สอบตอนอนุบาลสาม (คือ...ถ้าสอบตอนอนุบาลสองไม่ติด พออนุบาลสามก็มาสอบใหม่ได้ แต่ถ้าไม่เคยสอบเลยตอนอนุบาลสอง จะมาสอบตอนอนุบาลสามเนี่ย...ไม่ได้ อันนี้ไม่รู้เท็จจริงยังไงนะคะ แต่ก็เห็นคุณครูบอกเหมือนกันหมดทุกคน)

เด็กหญิงสอบได้อย่างนี้พ่อแม่ก็หมดกังวลไปอีกหนึ่งเรื่อง ไม่ต้องหาโรงเรียนให้ลูกอีกเพราะอยู่ที่นี่ก็เรียนยาวไปถึง มอ. หก เลย นอกจากว่าจะคิดไปสอบเข้าเตรียมอุดมตอนขึ้น มอ. สี่ ก็ค่อยว่ากัน

ตอนบอกเด็กหญิง เธอไม่ได้ดีใจอะไรนะ คงอาจจะยังไม่เข้าใจเท่าไรมั้ง แต่พอถามว่าไปเรียนที่มาแตร์ไหม...ชอบไหม...เธอก็บอกว่าชอบ โรงเรียนสวย ก็คงต้องดูกันว่าตอนเปิดเรียนวันแรก แล้วไปเรียนที่นั่นจะเป็นยังไง แต่แม่เชื่อ...ว่าลูกเก่งอยู่แล้ว ^_^





No comments:

Powered by Blogger.