บุหลันจันดารี...บทนำ ราตรีมรณะ
นิยายเรื่องนี้เขียนค้างไว้นานแล้ว หวังว่าคงจะได้เอามาเขียนต่อเร็วๆ นี้...

ปันจะคีรา
ประเทศจันดารี
อากาศในค่ำคืนนี้เย็นผิดปกติจนทำให้คนที่เร้นกายระหว่างพุ่มพฤกษ์พันธุ์ ต้องกระชับผ้าห่มคลุมกายแน่น ละไอหมอกขาวพรูออกจากปากทุกครั้งที่ผ่อนลมหายใจออก ดินฟ้าอากาศวิปริตไปแล้วหรือไร ปันจะคีราที่อยู่ในเขตร้อนชื้นถึงได้มีอากาศหนาวเย็น และมีหมอกคลุมจนมองอะไรมิถนัดดั่งเคย คนที่เดินคิดในใจขณะจรดฝีเท้าแต่ละย่างก้าวอย่างเงียบกริบ หากเร่งรีบ...ร้อนรน
หรือนี่จะเป็นสัญญาณของหายนะ !
แน่แล้ว...ปันจะคีราถึงคราวหายนะเสียแล้วกระมัง !
รีบ...ต้องรีบ...เจ้าตัวเร่งฝีเท้าทว่าต้องชะงักเมื่อโสตประสาทยินเสียง ฝีเท้ากระทบแผ่นหินอันปูเป็นทางเดินในอุทยานดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอเข้ามา ใกล้ คนที่กำลังรีบ หลบวูบหลังพุ่มไม้โดยพลัน
การถูกพบที่นี่มิเป็นผลดี !
พฤกษาไหวพเยิบพะยาบมิได้ผิดสังเกตแม้แต่น้อยสำหรับทหารยามสองนายที่ผ่าน มาด้วยความรีบร้อน ผู้บังคับบัญชามีคำสั่งเรียกทหารทุกนายไปรวมตัวกันที่หน่วยโดยด่วน มันกำลังเดินยามรอบอุทยานชั้นนอกตามปกติเมื่อมีวิทยุเรียกทหารทุกนายเมื่อ สักห้านาทีที่ผ่านมา
บุหรี่ที่ต่อเพื่อสูบแก้หนาวถูกดับและโยนทิ้งทั้งที่เสียดายไม่น้อย อากาศเย็นจัดเกือบหนาวผิดปกติเช่นนี้สำหรับคนที่ไม่เคยชินแล้วทรมานยิ่งนัก การได้สูบบุหรี่จึงนับว่าเป็นสิ่งวิเศษ นอกจากจะแก้หนาวยังทำให้หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
ราตรียังอีกยาวไกล และมันก็ไม่อยากหลับยามด้วยรู้...
โทษทัณฑ์ในการหลับยามมิใช่น้อย !
วิทยุเรียกเมื่อครู่แม้จะไม่มีคำชี้แจงเพิ่มเติมหากทหารทุกนายได้กลิ่น อันไม่สู้ดีทั้งสิ้น การเมืองภายในปันจะคีราดูเหมือนสงบเงียบเรียบร้อยก็จริงหากการที่องค์ระตู ประชวรออดแอดกลับทำให้หลายฝ่ายระส่ำระสายเพราะคลื่นใต้น้ำที่แบ่งแยกเป็นสาม สายอย่างชัดเจน
สามสายตามจำนวนพระโอรสขององค์ระตู !
องค์โต...เจ้าชายสุหรานากง ประสูติแด่พระชายาในตำแหน่งประไหมสุหรีซึ่งเป็นขนิษฐาขององค์รายาแห่งจันดารี
องค์ที่สอง...เจ้าชายสุหรันกิราหนา ประสูติแด่พระเทวีองค์แรกผู้ซึ่งเป็นขนิษฐาต่างพระมารดาขององค์ประไหมสุหรีนั่นเอง และ...
องค์ที่สาม...เจ้าชายสุหรากันตา ประสูติแด่พระเทวีองค์ที่สอง เจ้าหญิงเชื้อพระวงศ์ในราชตระกูลปันจะคีรา
เจ้าชายสุหรานากงทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นระตูมุดาก็จริง หากยังมิได้ผ่านพิธีถือสัตย์ปฏิญาณและพิธีสรงสระสนานที่เทวาลัยศักดิ์สิทธิ์ บนเกาะไข่มุก เท่ากับว่าตำแหน่งระตูมุดายังไม่เป็นที่รับรอง ซ้ำเจ้าชายยังไม่สู้แข็งแรง มีโรคประจำตัวที่คอยกัดกร่อนพระพลานามัยอยู่เสมอ ทำให้ผู้สนับสนุนเจ้าชายอีกสององค์เพียรพยายามที่จะสร้างสถานการณ์เพื่อให้ ฝ่ายของตนได้เปรียบ
คนที่หลบซ่อนรอจนทหารยามทั้งสองนายผ่านไปจึงค่อยขยับกายออกสู่ แสงแห่งจันทรา ตระหนักถึงจำนวนทหารยามที่เฝ้าอารักขารอบติกาหรัง...ตำหนักทั้งหลาย...
เพิ่มเป็นสองเท่า !
สิ่งที่เจ้าหญิงทรงรับสั่งคาดการณ์ไว้...เป็นจริง
คืนนี้จะเกิดเรื่องร้าย !
ดวงจิตของนางข้าหลวงสาวรุ่นประหวัดถึงเหตุการณ์ก่อนที่นางจะออกจากตำหนัก ตามคำสั่งของผู้เป็นนาย สีพระพักตร์ของเจ้าหญิงสุรีดรสาแสดงถึงความร้อยพระทัยเป็นยิ่งนักไม่ต่างจาก ถ้อยรับสั่งเรียกชื่อนางเลยแม้แต่น้อย
‘เกนรุจนา’
นางข้าหลวงในพระองค์ขยับกายจากที่ซึ่งยืนอยู่เข้าไปคุกเข่าเฝ้าใกล้ๆ ผู้ที่ประทับนิ่งบนพระเก้าอี้ข้างโต๊ะทรงพระอักษร เจ้าหญิงทอดพระเนตรออกไปนอกช่องพระแกลอยู่ชั่วครู่...
ภายนอกนั้นมีหมอกหนาหนักลอยเรี่ยปกคลุมจนแลเห็นเป็นม่านสีขาว...มิอาจมอง สิ่งใดได้ชัดเจน กระทั่งยอดหอคอยพระราชวังที่เคยแจ่มชัดแม้ในคืนเดือนมืด ยังมิเห็น
ทั้งที่เป็นคืนบุหลันฉาย...จันทราเต็มดวง
เจ้าหญิงโน้มวรองค์เข้าไปใกล้นางข้าหลวง...ตรัสกระซิบ
‘เจ้ารู้สึกไหม คืนนี้เป็นคืนบุหลันฉาย ทว่ากลับมองสิ่งใดมิชัดแจ้ง เพราะเมฆหมอกนั่น...น่ากลัวเหลือเกิน เกนรุจนา...เรา...เราได้กลิ่นความตาย คืนนี้...ต้องเป็นคืนนี้แน่นอน เราจะทำอย่างไรดี’
เจ้าหญิงทรงกระสับกระส่ายราวกับว่าตัดสินพระทัยมิถูก พระหัตถ์เรียวกำชายผ้าคลุมพระอังสาแน่น
พลันเสียงอึกทึกโหวกเหวกจากอุทยานแว่วมา นางกำนัลรุ่นเยาว์นางหนึ่งเคาะบานพระทวารของห้องบรรทมเป็นจังหวะรัว
‘เจ้าหญิง...เจ้าหญิงเพคะ...’
‘เข้ามา’
สีหน้านางผู้เข้ามาใหม่มีแววตื่นตระหนก
‘ระตูมุดา...ระตูมุดาสิ้นพระชนม์แล้วเพคะ ! ’
สิ้นคำกราบทูล เจ้าหญิงสุรีดรสาประทับยืนพรวดด้วยความตกพระทัยอย่างยิ่งยวด สุรเสียงลอดไรพระทนต์ดังเพียงแผ่วเบา...
‘เจ้าพี่ ! ’
เจ้าหญิงทรงหันพระพักตร์มาทางนางข้าหลวงคนสนิททรงมีพระบัญชาทันที
‘เกนรุจนา...ไปหาท่านการิตเดี๋ยวนี้ ให้นำความจากเราขึ้นทูลเจ้าพี่สุหรันกิราหนาโดยด่วน’ เจ้าหญิงทรงคว้าปากกาและกระดาษบนโต๊ะแล้วมีลายพระหัตถ์ถึงพระเชษฐาอย่างรวด เร็ว ทรงอ่านทวนอีกครั้งก่อนจะพับกระดาษเก็บเข้าซองยื่นให้นางข้าหลวงคนสนิท
‘นำจดหมายเราไปให้ถึงมือท่านการิต จำไว้...อย่าให้ใครเห็นเป็นอันขาด...เกนรุจนา มิฉะนั้นทั้งเจ้าทั้งเราอาจจะไปเฝ้าองค์ปะตาระกาหลาก่อนกำหนด’
‘เพคะ’
เกนรุจนารับซองลายพระหัตถ์มาถือไว้แล้วใช้ผ้าคลุมไหล่บังจนมิดชิด เจ้าหญิงทรงรั้งร่างนางข้าหลวงไว้และโน้มพระองค์เข้าไปใกล้ก่อนตรัสกระซิบ ใส่หูอีกฝ่ายเป็นการสั่งความบางประการ เกนรุจนาก้มศีรษะยอบตัวแล้วก้าวถอยหลังไปสามก้าวก่อนจะหมุนกายมุ่งไปที่ ประตูห้องบรรทม
และนั่นเองเกนรุจนาจึงต้องเร้นกายหลบซ่อนเหล่าทหารในยามรัตติกาลเพื่อมา ยังตำหนักกะบุหนิงของเจ้าชายสุหรันกิราหนา...เชษฐาต่างพระมารดาของเจ้าหญิง
กว่าจะหลบสายตาเหล่าทหารที่ขวักไขว่โกลาหลมาตามเส้นทางเดินในอุทยานก็ เลือดตาแทบกระเด็น ดังนั้นเมื่อนางเห็นยอดติกาหรังที่ซ่อนอยู่หลังดงต้นแก้วท่ามกลางริ้วม่าน ขาวของหมอกหนายามรัตติกาล เกนรุจนาจึงยิ้มดีใจ ฝีเท้าเร่งเดินด้วยปรีดานัก
“นั่นใคร ? “
เสียงเข้มดุตวาดถามจากเงามืดหลังไม้ใหญ่ นางข้าหลวงสาวผงะถอยหลัง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ มือที่กระชับกุมซองลายพระหัตถ์ใต้ผ้าคลุมไหล่เกร็งโดยไม่รู้ตัว พลันเมื่อร่างที่ซุ่มอยู่หลังต้นไม้ก้าวออกมายืนในความสลัวของแสงจันทร์ นางถึงกับถอนใจเฮือก...โล่งอก
“โธ่ ! นึกว่าใคร...ท่านการิตนั่นเอง” เกนรุจนาก้าวเข้าไปหาอีกฝ่าย
การิต...เป็นทหารหนุ่มรูปงามที่มีหน้าตาผิวพรรณผิดแผกจากชาวพื้นเมืองปัน จะคีรา นั่นเป็นเพราะสายเลือดอันเข้มข้นของราชสกุลที่ตกทอดสู่ตัวเขาผ่านมารดาซึ่ง เป็นเจ้าหญิงเชื้อพระวงศ์เก่าแก่ของเกาะปันจะคีรา เมื่อรวมกับสายเลือดของบิดาที่เป็นชาวต่างชาติ จึงยิ่งทำให้เขามีบุคลิกลักษณะที่โดดเด่นกว่าผู้อื่น
และเพราะสายสัมพันธ์สนิทแน่นทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นนายทหารองครักษ์คน สนิทของเจ้าชายสุหรันกิราหนา...โอรสองค์ที่สองในระตูปันจะคีราได้โดยง่าย
เกนรุจนายื่นซองสีขาวใส่มืออีกฝ่ายอย่างเร็วรี่ขณะกระซิบบอก “ลายพระหัตถ์เจ้าหญิงสุหราดรสาถึงท่าน ฝากให้เจ้าชาย”
คิ้วเข้มที่พาดเหนือดวงตาคมฉายรอยแปลกใจเป็นล้นพ้น
เจ้าหญิงสุรีดรสามีลายพระหัตถ์มาถึงเจ้าชายสุหรันกิราหนาอย่างนั้นหรือ ?
แต่เวลาแห่งความแปลกใจของการิตคงอยู่มินานนักเมื่อประโยคต่อมาผ่านริมฝีปากนางข้าหลวงคนสนิทของเจ้าหญิง
“ท่านทราบหรือไม่ องค์ระตูมุดาสิ้นพระชนม์แล้ว”
“อะไรนะ ! “ พลันความสงสัยที่เกาะกุมจิตใจกลับมลาย
นี่เอง...สาเหตุที่มีทหารเดินกันขวักไขว่วุ่นวาย
การิตออกมาเฝ้าสังเกตการณ์อย่างเงียบเชียบนอกกำแพงติกาหรังหลังจากได้รับ รายงานจากทหารรับใช้ว่ามีการเรียกตัวทหารทุกนายที่ประจำการอยู่เข้าหน่วยโดย พร้อมเพรียง ความวุ่นวายที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงันท่ามกลางความมัวสลัวของรัตติกาลทำให้ เขานึกสงสัยครามครัน ถึงกับให้คนสนิทออกไปสืบข่าวให้รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
และแล้ว...แสงเทียนในหัวใจทหารหนุ่มเลือดผสมก็คล้ายจะวูบไหวเจียนดับพร้อมกับความประหวั่นหวาดอันมิมีที่มา
ลายพระหัตถ์เจ้าหญิงเกี่ยวเนื่องกับเหตุร้ายนี้เป็นแน่แท้ !
เจ้าหญิงสุรีดรสาผู้เป็นขนิษฐาต่างพระมารดาของเจ้าชายสุหรันกิราหนามีลาย พระหัตถ์มาถึงเช่นนี้ย่อมมิใช่เรื่องดี เขาควรต้องรีบนำลายพระหัตถ์ขึ้นทูลถวายเจ้าชายโดยเร็ว
“เข้ามารอในตำหนักก่อนเถิด หลังจากนำลายพระหัตถ์ขึ้นทูลถวายเจ้าชายแล้วเราจะให้ทหารพาท่านกลับตำหนักเจ้าหญิงเอง”
“ขอบคุณ เอ่อ...ท่านการิต เรามีถ้อยรับสั่งของเจ้าหญิงมาถึงท่านโดยเฉพาะ”
คำพูดสั้นๆ ของอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนสีหน้าเฉยเมยปนดุของการิตให้แย้มยิ้มน้อยๆ เขาผงกศีรษะรับก่อนบอกสั้นๆ
“ถวายลายพระหัตถ์ให้เจ้าชายแล้วเราจะมาฟัง”
ลายพระหัตถ์ของเจ้าหญิงสุรีดรสาถึงพระหัตถ์เจ้าชายในที่สุด
พระองค์เปิดออกทอดพระเนตรเพียงครู่เดียว สีพระพักตร์ก็แปรเปลี่ยนไป พระขนงขมวดมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย ถ้อยความในจดหมายจากขนิษฐาต่างพระมารดามิได้แจ้งอะไรแน่ชัด นอกจากคำเตือนถึงอันตราย ให้ทรงหลบหนีไปจากที่นี่เสียโดยไวและทรงเตรียมการหลบหนีไว้ให้แล้ว เพียงแค่นั้นเจ้าชายสุหรันกิราหนาก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้อย่าง รางเลือน เหตุลอบปลงพระชนม์องค์เชษฐา ย่อมนำมาซึ่งความไม่ปลอดภัยในชีวิตของพระองค์
หากเจ้าชายกลับนิ่งสงบอย่างประหลาด ไม่ทรงมีทีท่าวิตกหวั่นกลัวแม้แต่น้อย การิตมองเจ้าชายผู้เป็นเจ้านายที่เขารักยิ่งชีวิตด้วยความชื่นชม
“การิต พาชายากับบุตรีของเราไปจากที่นี่ น้องหญิงดรสาจดหมายมาบอกว่าเตรียมเรือไว้ให้แล้ว เราฝากชีวิตของคนที่เรารักทั้งสองไว้ที่ท่าน พาพวกเขาไปจากที่นี่...ไปจากจันดารีได้ยิ่งดี”
“แล้วพระองค์ ? “ ไม่ทันที่นายทหารองครักษ์คนสนิทจะจบประโยคของตน หัตถ์ของเจ้าชายก็ยกโบกเป็นการห้ามปราม
“เราจะไม่หนีไปไหนทั้งนั้น ! “ ถ้อยรับสั่งเด็ดเดี่ยวทำให้การิตมิกล้าทูลถามอีกต่อไป ชายหนุ่มก้มศีรษะรับคำสั่งอย่างสงบ ถ้อยรับสั่งของผู้เป็นเจ้านายถูกจารไว้ในหัวใจของเขา นายทหารหนุ่มปฏิญาณกับตนเอง...เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้พระชายาและเจ้าหญิง องค์น้อยปลอดภัย
แม้...จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม !
“กระหม่อมขอถวายชีวิตตนเองเพื่อปกป้องพระชายาและเจ้าหญิงพระเจ้าค่ะ” ร่างสูงก้มศีรษะต่ำยิ่ง ขณะที่ยกมือข้างขวาแตะที่อกเบื้องซ้ายของตน...เป็นการถวายสัตย์ปฏิญาณเป็น ครั้งสุดท้าย
“ขอบใจ...ขอบใจมาก” สุรเสียงของเจ้าชายสั่นพร่าด้วยความรู้สึกตื้นตันในพระทัย “เราจะไปบอกน้องหญิงกับลูกเดี๋ยวนี้ เจ้าเตรียมตัวไว้ให้พร้อม”
เจ้าชายเสด็จออกจากห้องทรงพระอักษรไป การิตจึงรีบไปหาเกนรุจนาที่ยังรออยู่ที่ท้องพระโรงกลาง ถ้อยรับสั่งของเจ้าหญิงที่ฝากความมาถึงเขาเป็นพิเศษนั้นทำให้หัวใจที่ถ่วง หนักด้วยหน้าที่ที่เพิ่งได้รับมอบหมายมาเมื่อครู่แช่มชื่นขึ้นอย่างน่าพิศวง
“เจ้าพี่...หม่อมฉันไม่ไป ถ้าไม่มีเจ้าพี่ไปด้วย หม่อมฉันไม่ไป” สุรเสียงกลั้นสะอื้นของพระชายาทำให้เจ้าชายสุหรันกิราหนาทรงทอดถอนพระ อัสสาสะอย่างจนพระทัย
“สะการะตาหลา...ถ้าเจ้ารักพี่ เจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งพี่ พาลูกไป พาไปให้ไกลที่สุดเท่าที่เจ้าจะไปได้”
เจ้าชายทรงโอบรอบอังสาบอบบางของพระชายาด้วยความรักใคร่สุดซึ้ง เจ้าหญิงพระชายาทรงเงยพักตร์ขึ้นจ้องดวงเนตรผู้เป็นสวามี อัสสุชลที่คลอคลองเนตรสีนิลแวววาวฉายรอยเศร้าโศกลึกเร้น เจ้าหญิงทรงรู้สึกว่าพระทัยหวิวไหวอย่างแปลกประหลาด ลางสังหรณ์บางอย่างรุนแรงขึ้นทุกขณะ ทรงหวาดกลัวเหลือเกิน...
หากเสด็จไป จะมิได้พบพานดวงพักตร์ของผู้เป็นที่รักอีก !
“โอ้...กะกันดา...เจ้าพี่ของหม่อมฉัน...”
เจ้าชายทรงขยับอ้อมพระกรรั้งวรกายอรชรของชายาเข้าแนบอุระ ทรงจุมพิตเกศานุ่มสลวยที่ขมวดมุ่นเป็นมวยอยู่ด้านหลังด้วยความรัก
“เจ้าก็เป็นดวงยิหวาของพี่...สะการะตาหลา พี่รักเจ้ายิ่งกว่าสิ่งใด และก็รักลูกของเราไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ฉะนั้นเจ้าจึงต้องไป...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สักวัน...สักวันเราจะกลับมาพบกันอีก...เชื่อพี่...เชื่อพี่สิ ดวงยิหวาของพี่”
เจ้าหญิงทรงกันแสงพลางส่ายพักตร์อย่างอัดอั้น ความรักของผู้เป็นสวามีที่มีให้นั้นพอจะทรงเข้าใจ หากแต่การจากลามิอาจทำพระทัยยอมรับได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะเมื่อเป็นการจากลาอย่างกะทันหัน ทั้งยังมีลางสังหรณ์รุนแรงรุมเร้าในดวงหทัย
“ต่อจากนี้ไปเจ้าจะต้องเข้มแข็ง เป็นที่พึ่งของลูก ดูแลลูกหญิงของเราให้เติบโตเป็นเจ้าหญิงที่สวยงามอย่างที่เจ้าเป็น เมื่อวันหนึ่งที่ลูกของเรากลับคืนมา จะได้กลับมาอย่างสมเกียรติสมฐานะเจ้าหญิงแห่งปันจะคีรา”
เจ้าหญิงพระชายามิอาจรับคำได้เพราะก้อนสะอื้นแล่นจุกพระศอ หากดวงเนตรที่จ้องตอบสวามีเป็นยิ่งกว่าคำสัญญาที่ล่วงออกจากโอษฐ์ เจ้าชายสุหรันกิราหนาแย้มพระโอษฐ์อย่างพอพระทัยก่อนดันวรกายของผู้เป็นชายา ออกห่าง ทรงปลดผ้าพันรอบบั้นพระเอวขององค์เองออก
ผ้าผืนยาวทอด้วยไหมควบกับทองแล่งเป็นลายเมาะตาริยะ...ดวงสุริยาซึ่งเป็น ลายประจำราชสกุล ด้านในสุดของผืนผ้าคือกริชทองคำสลักลายอันเป็นกริชประจำพระองค์ บอกศักดิ์แห่งเจ้าชายจากราชสกุลปันจะคีรา
“ผ้าซ่าโบะและกริชของเรา เจ้าเก็บเอาไว้แทนตัว ไม่ว่าเจ้ากับลูกจะไปอยู่ ณ แห่งหนใด ผ้าและกริชจะนำเจ้ากลับมาที่นี่...กริชที่มีชื่อเราสลักไว้คือเครื่องหมาย แห่งศักดิ์ของเจ้ากับลูก...ศักดิ์แห่งเจ้าหญิง ! ”
เจ้าหญิงทรงรับผ้าซ่าโบะและกริชประจำองค์ของสวามีไว้ด้วยสองพระหัตถ์ ทอดพระเนตรของสำคัญทั้งสองสิ่งด้วยเนตรที่ชุ่มด้วยอัสสุชล
“ลูกหญิงจะต้องเติบโตเป็นเจ้าหญิงที่เจ้าพี่ภูมิใจที่สุดเพคะ”
สิ้นดำรัส เจ้าหญิงทรงคุกชานุลงตรงพื้นหน้าสวามีก่อนก้มเศียรต่ำเป็นการปฏิญาณต่อผู้เป็นดั่งดวงหทัย
“ดวงยิหวาของพี่ พี่จะรอวันที่เราจะกลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง”
พระทัยของเจ้าหญิงกลับปวดแปลบกับถ้อยรับสั่งของสวามี...จากกันไปครั้งนี้...จะได้กลับมาเจอกันเมื่อไรมิอาจรู้ ที่สำคัญ...
...เจอกันในภพนี้...หรือในภพหน้า...
หากผู้ใดกระทำการคัดลอกเพื่อนำไปโพสในบล็อกหรือตามเวบอื่นโดยมิได้รับอนุญาต มีโทษปรับตามกฎหมายตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือ หากนำเรื่องไปเสนอต่อสำนักพิมพ์ ถือเป็นการเสนอขาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 4 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 800,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับตามมาตรา 69 แห่ง พ.ร.บ. กฎหมายลิขสิทธิ์

ปันจะคีรา
ประเทศจันดารี
อากาศในค่ำคืนนี้เย็นผิดปกติจนทำให้คนที่เร้นกายระหว่างพุ่มพฤกษ์พันธุ์ ต้องกระชับผ้าห่มคลุมกายแน่น ละไอหมอกขาวพรูออกจากปากทุกครั้งที่ผ่อนลมหายใจออก ดินฟ้าอากาศวิปริตไปแล้วหรือไร ปันจะคีราที่อยู่ในเขตร้อนชื้นถึงได้มีอากาศหนาวเย็น และมีหมอกคลุมจนมองอะไรมิถนัดดั่งเคย คนที่เดินคิดในใจขณะจรดฝีเท้าแต่ละย่างก้าวอย่างเงียบกริบ หากเร่งรีบ...ร้อนรน
หรือนี่จะเป็นสัญญาณของหายนะ !
แน่แล้ว...ปันจะคีราถึงคราวหายนะเสียแล้วกระมัง !
รีบ...ต้องรีบ...เจ้าตัวเร่งฝีเท้าทว่าต้องชะงักเมื่อโสตประสาทยินเสียง ฝีเท้ากระทบแผ่นหินอันปูเป็นทางเดินในอุทยานดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอเข้ามา ใกล้ คนที่กำลังรีบ หลบวูบหลังพุ่มไม้โดยพลัน
การถูกพบที่นี่มิเป็นผลดี !
พฤกษาไหวพเยิบพะยาบมิได้ผิดสังเกตแม้แต่น้อยสำหรับทหารยามสองนายที่ผ่าน มาด้วยความรีบร้อน ผู้บังคับบัญชามีคำสั่งเรียกทหารทุกนายไปรวมตัวกันที่หน่วยโดยด่วน มันกำลังเดินยามรอบอุทยานชั้นนอกตามปกติเมื่อมีวิทยุเรียกทหารทุกนายเมื่อ สักห้านาทีที่ผ่านมา
บุหรี่ที่ต่อเพื่อสูบแก้หนาวถูกดับและโยนทิ้งทั้งที่เสียดายไม่น้อย อากาศเย็นจัดเกือบหนาวผิดปกติเช่นนี้สำหรับคนที่ไม่เคยชินแล้วทรมานยิ่งนัก การได้สูบบุหรี่จึงนับว่าเป็นสิ่งวิเศษ นอกจากจะแก้หนาวยังทำให้หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
ราตรียังอีกยาวไกล และมันก็ไม่อยากหลับยามด้วยรู้...
โทษทัณฑ์ในการหลับยามมิใช่น้อย !
วิทยุเรียกเมื่อครู่แม้จะไม่มีคำชี้แจงเพิ่มเติมหากทหารทุกนายได้กลิ่น อันไม่สู้ดีทั้งสิ้น การเมืองภายในปันจะคีราดูเหมือนสงบเงียบเรียบร้อยก็จริงหากการที่องค์ระตู ประชวรออดแอดกลับทำให้หลายฝ่ายระส่ำระสายเพราะคลื่นใต้น้ำที่แบ่งแยกเป็นสาม สายอย่างชัดเจน
สามสายตามจำนวนพระโอรสขององค์ระตู !
องค์โต...เจ้าชายสุหรานากง ประสูติแด่พระชายาในตำแหน่งประไหมสุหรีซึ่งเป็นขนิษฐาขององค์รายาแห่งจันดารี
องค์ที่สอง...เจ้าชายสุหรันกิราหนา ประสูติแด่พระเทวีองค์แรกผู้ซึ่งเป็นขนิษฐาต่างพระมารดาขององค์ประไหมสุหรีนั่นเอง และ...
องค์ที่สาม...เจ้าชายสุหรากันตา ประสูติแด่พระเทวีองค์ที่สอง เจ้าหญิงเชื้อพระวงศ์ในราชตระกูลปันจะคีรา
เจ้าชายสุหรานากงทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นระตูมุดาก็จริง หากยังมิได้ผ่านพิธีถือสัตย์ปฏิญาณและพิธีสรงสระสนานที่เทวาลัยศักดิ์สิทธิ์ บนเกาะไข่มุก เท่ากับว่าตำแหน่งระตูมุดายังไม่เป็นที่รับรอง ซ้ำเจ้าชายยังไม่สู้แข็งแรง มีโรคประจำตัวที่คอยกัดกร่อนพระพลานามัยอยู่เสมอ ทำให้ผู้สนับสนุนเจ้าชายอีกสององค์เพียรพยายามที่จะสร้างสถานการณ์เพื่อให้ ฝ่ายของตนได้เปรียบ
คนที่หลบซ่อนรอจนทหารยามทั้งสองนายผ่านไปจึงค่อยขยับกายออกสู่ แสงแห่งจันทรา ตระหนักถึงจำนวนทหารยามที่เฝ้าอารักขารอบติกาหรัง...ตำหนักทั้งหลาย...
เพิ่มเป็นสองเท่า !
สิ่งที่เจ้าหญิงทรงรับสั่งคาดการณ์ไว้...เป็นจริง
คืนนี้จะเกิดเรื่องร้าย !
ดวงจิตของนางข้าหลวงสาวรุ่นประหวัดถึงเหตุการณ์ก่อนที่นางจะออกจากตำหนัก ตามคำสั่งของผู้เป็นนาย สีพระพักตร์ของเจ้าหญิงสุรีดรสาแสดงถึงความร้อยพระทัยเป็นยิ่งนักไม่ต่างจาก ถ้อยรับสั่งเรียกชื่อนางเลยแม้แต่น้อย
‘เกนรุจนา’
นางข้าหลวงในพระองค์ขยับกายจากที่ซึ่งยืนอยู่เข้าไปคุกเข่าเฝ้าใกล้ๆ ผู้ที่ประทับนิ่งบนพระเก้าอี้ข้างโต๊ะทรงพระอักษร เจ้าหญิงทอดพระเนตรออกไปนอกช่องพระแกลอยู่ชั่วครู่...
ภายนอกนั้นมีหมอกหนาหนักลอยเรี่ยปกคลุมจนแลเห็นเป็นม่านสีขาว...มิอาจมอง สิ่งใดได้ชัดเจน กระทั่งยอดหอคอยพระราชวังที่เคยแจ่มชัดแม้ในคืนเดือนมืด ยังมิเห็น
ทั้งที่เป็นคืนบุหลันฉาย...จันทราเต็มดวง
เจ้าหญิงโน้มวรองค์เข้าไปใกล้นางข้าหลวง...ตรัสกระซิบ
‘เจ้ารู้สึกไหม คืนนี้เป็นคืนบุหลันฉาย ทว่ากลับมองสิ่งใดมิชัดแจ้ง เพราะเมฆหมอกนั่น...น่ากลัวเหลือเกิน เกนรุจนา...เรา...เราได้กลิ่นความตาย คืนนี้...ต้องเป็นคืนนี้แน่นอน เราจะทำอย่างไรดี’
เจ้าหญิงทรงกระสับกระส่ายราวกับว่าตัดสินพระทัยมิถูก พระหัตถ์เรียวกำชายผ้าคลุมพระอังสาแน่น
พลันเสียงอึกทึกโหวกเหวกจากอุทยานแว่วมา นางกำนัลรุ่นเยาว์นางหนึ่งเคาะบานพระทวารของห้องบรรทมเป็นจังหวะรัว
‘เจ้าหญิง...เจ้าหญิงเพคะ...’
‘เข้ามา’
สีหน้านางผู้เข้ามาใหม่มีแววตื่นตระหนก
‘ระตูมุดา...ระตูมุดาสิ้นพระชนม์แล้วเพคะ ! ’
สิ้นคำกราบทูล เจ้าหญิงสุรีดรสาประทับยืนพรวดด้วยความตกพระทัยอย่างยิ่งยวด สุรเสียงลอดไรพระทนต์ดังเพียงแผ่วเบา...
‘เจ้าพี่ ! ’
เจ้าหญิงทรงหันพระพักตร์มาทางนางข้าหลวงคนสนิททรงมีพระบัญชาทันที
‘เกนรุจนา...ไปหาท่านการิตเดี๋ยวนี้ ให้นำความจากเราขึ้นทูลเจ้าพี่สุหรันกิราหนาโดยด่วน’ เจ้าหญิงทรงคว้าปากกาและกระดาษบนโต๊ะแล้วมีลายพระหัตถ์ถึงพระเชษฐาอย่างรวด เร็ว ทรงอ่านทวนอีกครั้งก่อนจะพับกระดาษเก็บเข้าซองยื่นให้นางข้าหลวงคนสนิท
‘นำจดหมายเราไปให้ถึงมือท่านการิต จำไว้...อย่าให้ใครเห็นเป็นอันขาด...เกนรุจนา มิฉะนั้นทั้งเจ้าทั้งเราอาจจะไปเฝ้าองค์ปะตาระกาหลาก่อนกำหนด’
‘เพคะ’
เกนรุจนารับซองลายพระหัตถ์มาถือไว้แล้วใช้ผ้าคลุมไหล่บังจนมิดชิด เจ้าหญิงทรงรั้งร่างนางข้าหลวงไว้และโน้มพระองค์เข้าไปใกล้ก่อนตรัสกระซิบ ใส่หูอีกฝ่ายเป็นการสั่งความบางประการ เกนรุจนาก้มศีรษะยอบตัวแล้วก้าวถอยหลังไปสามก้าวก่อนจะหมุนกายมุ่งไปที่ ประตูห้องบรรทม
และนั่นเองเกนรุจนาจึงต้องเร้นกายหลบซ่อนเหล่าทหารในยามรัตติกาลเพื่อมา ยังตำหนักกะบุหนิงของเจ้าชายสุหรันกิราหนา...เชษฐาต่างพระมารดาของเจ้าหญิง
กว่าจะหลบสายตาเหล่าทหารที่ขวักไขว่โกลาหลมาตามเส้นทางเดินในอุทยานก็ เลือดตาแทบกระเด็น ดังนั้นเมื่อนางเห็นยอดติกาหรังที่ซ่อนอยู่หลังดงต้นแก้วท่ามกลางริ้วม่าน ขาวของหมอกหนายามรัตติกาล เกนรุจนาจึงยิ้มดีใจ ฝีเท้าเร่งเดินด้วยปรีดานัก
“นั่นใคร ? “
เสียงเข้มดุตวาดถามจากเงามืดหลังไม้ใหญ่ นางข้าหลวงสาวผงะถอยหลัง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ มือที่กระชับกุมซองลายพระหัตถ์ใต้ผ้าคลุมไหล่เกร็งโดยไม่รู้ตัว พลันเมื่อร่างที่ซุ่มอยู่หลังต้นไม้ก้าวออกมายืนในความสลัวของแสงจันทร์ นางถึงกับถอนใจเฮือก...โล่งอก
“โธ่ ! นึกว่าใคร...ท่านการิตนั่นเอง” เกนรุจนาก้าวเข้าไปหาอีกฝ่าย
การิต...เป็นทหารหนุ่มรูปงามที่มีหน้าตาผิวพรรณผิดแผกจากชาวพื้นเมืองปัน จะคีรา นั่นเป็นเพราะสายเลือดอันเข้มข้นของราชสกุลที่ตกทอดสู่ตัวเขาผ่านมารดาซึ่ง เป็นเจ้าหญิงเชื้อพระวงศ์เก่าแก่ของเกาะปันจะคีรา เมื่อรวมกับสายเลือดของบิดาที่เป็นชาวต่างชาติ จึงยิ่งทำให้เขามีบุคลิกลักษณะที่โดดเด่นกว่าผู้อื่น
และเพราะสายสัมพันธ์สนิทแน่นทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นนายทหารองครักษ์คน สนิทของเจ้าชายสุหรันกิราหนา...โอรสองค์ที่สองในระตูปันจะคีราได้โดยง่าย
เกนรุจนายื่นซองสีขาวใส่มืออีกฝ่ายอย่างเร็วรี่ขณะกระซิบบอก “ลายพระหัตถ์เจ้าหญิงสุหราดรสาถึงท่าน ฝากให้เจ้าชาย”
คิ้วเข้มที่พาดเหนือดวงตาคมฉายรอยแปลกใจเป็นล้นพ้น
เจ้าหญิงสุรีดรสามีลายพระหัตถ์มาถึงเจ้าชายสุหรันกิราหนาอย่างนั้นหรือ ?
แต่เวลาแห่งความแปลกใจของการิตคงอยู่มินานนักเมื่อประโยคต่อมาผ่านริมฝีปากนางข้าหลวงคนสนิทของเจ้าหญิง
“ท่านทราบหรือไม่ องค์ระตูมุดาสิ้นพระชนม์แล้ว”
“อะไรนะ ! “ พลันความสงสัยที่เกาะกุมจิตใจกลับมลาย
นี่เอง...สาเหตุที่มีทหารเดินกันขวักไขว่วุ่นวาย
การิตออกมาเฝ้าสังเกตการณ์อย่างเงียบเชียบนอกกำแพงติกาหรังหลังจากได้รับ รายงานจากทหารรับใช้ว่ามีการเรียกตัวทหารทุกนายที่ประจำการอยู่เข้าหน่วยโดย พร้อมเพรียง ความวุ่นวายที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงันท่ามกลางความมัวสลัวของรัตติกาลทำให้ เขานึกสงสัยครามครัน ถึงกับให้คนสนิทออกไปสืบข่าวให้รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
และแล้ว...แสงเทียนในหัวใจทหารหนุ่มเลือดผสมก็คล้ายจะวูบไหวเจียนดับพร้อมกับความประหวั่นหวาดอันมิมีที่มา
ลายพระหัตถ์เจ้าหญิงเกี่ยวเนื่องกับเหตุร้ายนี้เป็นแน่แท้ !
เจ้าหญิงสุรีดรสาผู้เป็นขนิษฐาต่างพระมารดาของเจ้าชายสุหรันกิราหนามีลาย พระหัตถ์มาถึงเช่นนี้ย่อมมิใช่เรื่องดี เขาควรต้องรีบนำลายพระหัตถ์ขึ้นทูลถวายเจ้าชายโดยเร็ว
“เข้ามารอในตำหนักก่อนเถิด หลังจากนำลายพระหัตถ์ขึ้นทูลถวายเจ้าชายแล้วเราจะให้ทหารพาท่านกลับตำหนักเจ้าหญิงเอง”
“ขอบคุณ เอ่อ...ท่านการิต เรามีถ้อยรับสั่งของเจ้าหญิงมาถึงท่านโดยเฉพาะ”
คำพูดสั้นๆ ของอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนสีหน้าเฉยเมยปนดุของการิตให้แย้มยิ้มน้อยๆ เขาผงกศีรษะรับก่อนบอกสั้นๆ
“ถวายลายพระหัตถ์ให้เจ้าชายแล้วเราจะมาฟัง”
ลายพระหัตถ์ของเจ้าหญิงสุรีดรสาถึงพระหัตถ์เจ้าชายในที่สุด
พระองค์เปิดออกทอดพระเนตรเพียงครู่เดียว สีพระพักตร์ก็แปรเปลี่ยนไป พระขนงขมวดมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย ถ้อยความในจดหมายจากขนิษฐาต่างพระมารดามิได้แจ้งอะไรแน่ชัด นอกจากคำเตือนถึงอันตราย ให้ทรงหลบหนีไปจากที่นี่เสียโดยไวและทรงเตรียมการหลบหนีไว้ให้แล้ว เพียงแค่นั้นเจ้าชายสุหรันกิราหนาก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้อย่าง รางเลือน เหตุลอบปลงพระชนม์องค์เชษฐา ย่อมนำมาซึ่งความไม่ปลอดภัยในชีวิตของพระองค์
หากเจ้าชายกลับนิ่งสงบอย่างประหลาด ไม่ทรงมีทีท่าวิตกหวั่นกลัวแม้แต่น้อย การิตมองเจ้าชายผู้เป็นเจ้านายที่เขารักยิ่งชีวิตด้วยความชื่นชม
“การิต พาชายากับบุตรีของเราไปจากที่นี่ น้องหญิงดรสาจดหมายมาบอกว่าเตรียมเรือไว้ให้แล้ว เราฝากชีวิตของคนที่เรารักทั้งสองไว้ที่ท่าน พาพวกเขาไปจากที่นี่...ไปจากจันดารีได้ยิ่งดี”
“แล้วพระองค์ ? “ ไม่ทันที่นายทหารองครักษ์คนสนิทจะจบประโยคของตน หัตถ์ของเจ้าชายก็ยกโบกเป็นการห้ามปราม
“เราจะไม่หนีไปไหนทั้งนั้น ! “ ถ้อยรับสั่งเด็ดเดี่ยวทำให้การิตมิกล้าทูลถามอีกต่อไป ชายหนุ่มก้มศีรษะรับคำสั่งอย่างสงบ ถ้อยรับสั่งของผู้เป็นเจ้านายถูกจารไว้ในหัวใจของเขา นายทหารหนุ่มปฏิญาณกับตนเอง...เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้พระชายาและเจ้าหญิง องค์น้อยปลอดภัย
แม้...จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม !
“กระหม่อมขอถวายชีวิตตนเองเพื่อปกป้องพระชายาและเจ้าหญิงพระเจ้าค่ะ” ร่างสูงก้มศีรษะต่ำยิ่ง ขณะที่ยกมือข้างขวาแตะที่อกเบื้องซ้ายของตน...เป็นการถวายสัตย์ปฏิญาณเป็น ครั้งสุดท้าย
“ขอบใจ...ขอบใจมาก” สุรเสียงของเจ้าชายสั่นพร่าด้วยความรู้สึกตื้นตันในพระทัย “เราจะไปบอกน้องหญิงกับลูกเดี๋ยวนี้ เจ้าเตรียมตัวไว้ให้พร้อม”
เจ้าชายเสด็จออกจากห้องทรงพระอักษรไป การิตจึงรีบไปหาเกนรุจนาที่ยังรออยู่ที่ท้องพระโรงกลาง ถ้อยรับสั่งของเจ้าหญิงที่ฝากความมาถึงเขาเป็นพิเศษนั้นทำให้หัวใจที่ถ่วง หนักด้วยหน้าที่ที่เพิ่งได้รับมอบหมายมาเมื่อครู่แช่มชื่นขึ้นอย่างน่าพิศวง
“เจ้าพี่...หม่อมฉันไม่ไป ถ้าไม่มีเจ้าพี่ไปด้วย หม่อมฉันไม่ไป” สุรเสียงกลั้นสะอื้นของพระชายาทำให้เจ้าชายสุหรันกิราหนาทรงทอดถอนพระ อัสสาสะอย่างจนพระทัย
“สะการะตาหลา...ถ้าเจ้ารักพี่ เจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งพี่ พาลูกไป พาไปให้ไกลที่สุดเท่าที่เจ้าจะไปได้”
เจ้าชายทรงโอบรอบอังสาบอบบางของพระชายาด้วยความรักใคร่สุดซึ้ง เจ้าหญิงพระชายาทรงเงยพักตร์ขึ้นจ้องดวงเนตรผู้เป็นสวามี อัสสุชลที่คลอคลองเนตรสีนิลแวววาวฉายรอยเศร้าโศกลึกเร้น เจ้าหญิงทรงรู้สึกว่าพระทัยหวิวไหวอย่างแปลกประหลาด ลางสังหรณ์บางอย่างรุนแรงขึ้นทุกขณะ ทรงหวาดกลัวเหลือเกิน...
หากเสด็จไป จะมิได้พบพานดวงพักตร์ของผู้เป็นที่รักอีก !
“โอ้...กะกันดา...เจ้าพี่ของหม่อมฉัน...”
เจ้าชายทรงขยับอ้อมพระกรรั้งวรกายอรชรของชายาเข้าแนบอุระ ทรงจุมพิตเกศานุ่มสลวยที่ขมวดมุ่นเป็นมวยอยู่ด้านหลังด้วยความรัก
“เจ้าก็เป็นดวงยิหวาของพี่...สะการะตาหลา พี่รักเจ้ายิ่งกว่าสิ่งใด และก็รักลูกของเราไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ฉะนั้นเจ้าจึงต้องไป...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สักวัน...สักวันเราจะกลับมาพบกันอีก...เชื่อพี่...เชื่อพี่สิ ดวงยิหวาของพี่”
เจ้าหญิงทรงกันแสงพลางส่ายพักตร์อย่างอัดอั้น ความรักของผู้เป็นสวามีที่มีให้นั้นพอจะทรงเข้าใจ หากแต่การจากลามิอาจทำพระทัยยอมรับได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะเมื่อเป็นการจากลาอย่างกะทันหัน ทั้งยังมีลางสังหรณ์รุนแรงรุมเร้าในดวงหทัย
“ต่อจากนี้ไปเจ้าจะต้องเข้มแข็ง เป็นที่พึ่งของลูก ดูแลลูกหญิงของเราให้เติบโตเป็นเจ้าหญิงที่สวยงามอย่างที่เจ้าเป็น เมื่อวันหนึ่งที่ลูกของเรากลับคืนมา จะได้กลับมาอย่างสมเกียรติสมฐานะเจ้าหญิงแห่งปันจะคีรา”
เจ้าหญิงพระชายามิอาจรับคำได้เพราะก้อนสะอื้นแล่นจุกพระศอ หากดวงเนตรที่จ้องตอบสวามีเป็นยิ่งกว่าคำสัญญาที่ล่วงออกจากโอษฐ์ เจ้าชายสุหรันกิราหนาแย้มพระโอษฐ์อย่างพอพระทัยก่อนดันวรกายของผู้เป็นชายา ออกห่าง ทรงปลดผ้าพันรอบบั้นพระเอวขององค์เองออก
ผ้าผืนยาวทอด้วยไหมควบกับทองแล่งเป็นลายเมาะตาริยะ...ดวงสุริยาซึ่งเป็น ลายประจำราชสกุล ด้านในสุดของผืนผ้าคือกริชทองคำสลักลายอันเป็นกริชประจำพระองค์ บอกศักดิ์แห่งเจ้าชายจากราชสกุลปันจะคีรา
“ผ้าซ่าโบะและกริชของเรา เจ้าเก็บเอาไว้แทนตัว ไม่ว่าเจ้ากับลูกจะไปอยู่ ณ แห่งหนใด ผ้าและกริชจะนำเจ้ากลับมาที่นี่...กริชที่มีชื่อเราสลักไว้คือเครื่องหมาย แห่งศักดิ์ของเจ้ากับลูก...ศักดิ์แห่งเจ้าหญิง ! ”
เจ้าหญิงทรงรับผ้าซ่าโบะและกริชประจำองค์ของสวามีไว้ด้วยสองพระหัตถ์ ทอดพระเนตรของสำคัญทั้งสองสิ่งด้วยเนตรที่ชุ่มด้วยอัสสุชล
“ลูกหญิงจะต้องเติบโตเป็นเจ้าหญิงที่เจ้าพี่ภูมิใจที่สุดเพคะ”
สิ้นดำรัส เจ้าหญิงทรงคุกชานุลงตรงพื้นหน้าสวามีก่อนก้มเศียรต่ำเป็นการปฏิญาณต่อผู้เป็นดั่งดวงหทัย
“ดวงยิหวาของพี่ พี่จะรอวันที่เราจะกลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง”
พระทัยของเจ้าหญิงกลับปวดแปลบกับถ้อยรับสั่งของสวามี...จากกันไปครั้งนี้...จะได้กลับมาเจอกันเมื่อไรมิอาจรู้ ที่สำคัญ...
...เจอกันในภพนี้...หรือในภพหน้า...
โปรดติดตามตอนต่อไป...
หากผู้ใดกระทำการคัดลอกเพื่อนำไปโพสในบล็อกหรือตามเวบอื่นโดยมิได้รับอนุญาต มีโทษปรับตามกฎหมายตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือ หากนำเรื่องไปเสนอต่อสำนักพิมพ์ ถือเป็นการเสนอขาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 4 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 800,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับตามมาตรา 69 แห่ง พ.ร.บ. กฎหมายลิขสิทธิ์



No comments: